Facebook Ads 2567 คลิกพุ่ง คอนเวอร์ชันโต ต้นทุนลดลง

สารบัญ

    แนวโน้มการคลิกและการเปลี่ยนแปลงของโฆษณา Facebook ในปี 2567

    ในปี 2567 โฆษณาบน Facebook ยังคงแสดงผลตอบแทนการลงทุนที่สำหรับธุรกิจต่าง ๆ โดยมีตัวชี้วัดสำคัญหลายตัวที่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลจากรายงานของ Wordstream

    ในขณะที่ Google กำลังเผชิญหน้ากับการตรวจสอบการผูกขาดและต้นทุนโฆษณาที่สูงขึ้น ในขณะนี้ Facebook ยังคงรักษาราคาที่คงที่และประสิทธิภาพที่เสถียรสำหรับผู้ลงโฆษณาได้ จึงทำให้ Facebook ยังคงเป็นทางเลือกที่สำคัญในการโฆษณา

    ตัวเลขที่น่าสนใจ

    • อัตราการคลิก (CTR) สำหรับแคมเปญหาลูกค้าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ 2.50%
    • ต้นทุนต่อคลิก (CPC) ลดลงเหลือ 1.88 ดอลลาร์ จาก 1.92 ดอลลาร์
    • อัตราการแปลง (Conversion Rate) เพิ่มขึ้นเป็น 8.78% จาก 8.25%
    • ต้นทุนต่อลูกค้า (CPL) ลดลงจาก 23.10 ดอลลาร์ เป็น 21.98 ดอลลาร์

    เหตุผลที่เราควรให้ความสำคัญกับแนวโน้มเหล่านี้ คือ การเข้าใจแนวโน้มและมาตรฐานเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพจากข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล การจัดสรรงบประมาณ และการตั้งความหวังในผลลัพธ์ของแคมเปญ โดยเฉพาะการใช้ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเป็นมาตรฐานในการวัดผลและตั้งเป้าหมายที่เหมาะสม 

    นอกจากนี้ การเติบโตของฐานผู้ใช้งาน Facebook  และเวลาการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันก็มีส่วนช่วยให้การโฆษณาในแพลตฟอร์มนี้มีเสถียรภาพมากขึ้น 

    • Facebook มีผู้ใช้งานประจำเดือนถึง 3 พันล้านคน
    • ผู้ใช้เฉลี่ยใช้เวลา 35 นาทีต่อวันบนแพลตฟอร์ม

    โดยรวมแล้ว โฆษณาบน Facebook ยังคงเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับการโฆษณาบนเสิร์ชเอนจิน เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำกว่าและประสิทธิภาพที่คงที่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

    TBS Marketing ขอแนะนำให้ธุรกิจใช้โฆษณาบน Facebook เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลแบบครบวงจร โดยการผสมผสานกับช่องทางอื่นๆ เช่น SEO และการโฆษณาบนเสิร์ชเอนจิน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

    ต้นทุนโฆษณาบน Facebook ที่เปลี่ยนไป

    ในปี 2567 ต้นทุนโฆษณาบน Facebook ได้เปลี่ยนไปในทิศทางที่น่าสนใจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ลงโฆษณาและกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล

    จากข้อมูลล่าสุด พบว่าต้นทุนต่อคลิก (CPC) เฉลี่ยสำหรับแคมเปญหาลูกค้าลดลงจาก 1.92 ดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 1.88 ดอลลาร์ ซึ่งแม้จะเป็นการลดลงเพียงเล็กน้อย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีสำหรับผู้ลงโฆษณา

    นอกจากนี้ ต้นทุนต่อลูกค้า (CPL) เฉลี่ยก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 23.10 ดอลลาร์เป็น 21.98 ดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าผู้ลงโฆษณาสามารถหาลูกค้าใหม่ได้ในราคาที่ถูกลง

    ซึ่งการลดลงของต้นทุนนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น 

    • การปรับปรุงระบบประมูลโฆษณาของ Facebook ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นระหว่างแพลตฟอร์มโฆษณาต่าง ๆ ทำให้ Facebook ต้องรักษาราคาให้แข่งขันได้
    • ผู้ลงโฆษณาเรียนรู้วิธีการสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนโดยรวมลดลง

    อย่างไรก็ตาม ผู้ลงโฆษณาควรตระหนักถึงต้นทุนอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละอุตสาหกรรม ช่วงเวลา รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง ดังนั้นผู้ลงโฆษณาควรติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญอย่างใกล้ชิด

    TBS Marketing ขอแนะนำให้ธุรกิจใช้ประโยชน์จากแนวโน้มต้นทุนที่ลดลงนี้ เช่น

    • ทดสอบกลุ่มเป้าหมายและข้อความโฆษณาใหม่ ๆ เพื่อหาแนวทางที่มีประสิทภาพมากที่สุดในการเข้าถึงลูกค้า
    • จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้กับแคมเปญที่ประสบความสำเร็จเพื่อขยายผลลัพธ์
    • พิจารณาทดลองใช้เครื่องมือโฆษณาขั้นสูงของ Facebook เช่น Advantage+ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญ

    ถึงแม้ว่าต้นทุนจะลดลง แต่ผู้ลงโฆษณายังคงต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงและกลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีที่สุดจากงบประมาณโฆษณา

    กลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพให้แคมเปญโฆษณา

    การปรับปรุงแคมเปญโฆษณา Facebook เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน ต่อไปนี้คือกลยุทธ์สำคัญที่ควรพิจารณาในการปรับปรุงประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาบน Facebook

    1. ขยายกลุ่มเป้าหมาย
    • ใช้ข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายคลึง (Lookalike Audiences)
    • ทดสอบการกำหนดเป้าหมายตามพฤติกรรม ความสนใจ และข้อมูลประชากรศาสตร์
    • ใช้การกำหนดเป้าหมายตามตำแหน่งที่ตั้งสำหรับธุรกิจท้องถิ่น
    1. ออกแบบโฆษณาให้น่าสนใจ
    • ใช้ภาพและวิดีโอคุณภาพสูงที่ดึงดูดความสนใจ
    • เขียนข้อความโฆษณาที่น่าสนใจและตรงประเด็น
    • ทดสอบรูปแบบโฆษณาต่าง ๆ เช่น Carousel, Collection หรือ Stories
    1. ปรับปรุงหน้าต้อนรับ (Landing Page)
    • สร้างหน้าต้อนรับที่สอดคล้องกับข้อความในโฆษณา
    • ออกแบบให้ใช้งานง่ายบนอุปกรณ์มือถือ
    • มีคำที่กระตุ้นความสนใจให้เกิดการกระทำบางอย่าง (Call-to-Action) 
    1. ใช้เครื่องมือ Facebook เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ
    • เปิดใช้งาน Conversion Optimization เพื่อให้ระบบเรียนรู้และกำหนดเป้าหมายผู้ที่มีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อโฆษณาของคุณ
    • ทดลองใช้ Advantage+ campaigns เพื่อให้ AI ช่วยปรับแต่งแคมเปญอัตโนมัติ
    • ใช้ Facebook Pixel เพื่อติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้และสร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพ
    1. ทดสอบและวิเคราะห์ต่อเนื่องทำ
    • A/B Testing เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของโฆษณาต่าง ๆ
    • ติดตามตัวชี้วัดสำคัญเช่น CTR, CPC, Conversion Rate อย่างสม่ำเสมอ
    • ปรับแต่งแคมเปญตามผลการวิเคราะห์ที่ได้
    1. ใช้กลยุทธ์การเสนอราคาที่ตรงกับเป้าหมาย
    • เลือกวิธีการเสนอราคาที่สอดคล้องกับเป้าหมายของแคมเปญ
    • ปรับงบประมาณและการเสนอราคาตามประสิทธิภาพของแคมเปญ
    • ใช้การเสนอราคาแบบ Manual หากต้องการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด

    TBS Marketing แนะนำให้ธุรกิจในไทยเริ่มต้นด้วยการทดลองใช้กลยุทธ์เหล่านี้ทีละขั้นตอน และติดตามผลอย่างใกล้ชิด พร้อมกับการปรับปรุงประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา Facebook ที่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอาศัยการทดสอบและเรียนรู้จากผลลัพธ์อยู่เสมอ ด้วยความพยายามและความอดทน ธุรกิจจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญและได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากการลงทุนในโฆษณา Facebook อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    ผลกระทบของการเปลี่ยนนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook 

    การเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบอย่างมากต่อการลงโฆษณาบน Facebook โดยเฉพาะการอัปเดต iOS 14.5 ของ Apple ซึ่งจำกัดการติดตามข้อมูลผู้ใช้ ส่งผลให้ความแม่นยำในการกำหนดเป้าหมายและการวัดผลของแคมเปญโฆษณาต่าง ๆ ลดลง โดยผลกระทบหลักที่เกิดขึ้น มีดังนี้

    • การกำหนดเป้าหมายมีความแม่นยำน้อยลง เนื่องจากข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ที่ถูกปิดกั้น
    • การรายงานผลแคมเปญที่ล่าช้าและไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
    • ประสิทธิภาพของการทำ Retargeting ลดลง เนื่องจากไม่สามารถติดตามผู้ใช้ข้ามแพลตฟอร์มได้
    • ต้นทุนโฆษณาเพิ่มสูงขึ้นในบางอุตสาหกรรม เพราะการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่มีจำกัด

    อย่างไรก็ตาม Facebook ได้พัฒนาเครื่องและวิธีการใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ลงโฆษณาปรับตัวได้ง่ายขึ้น เช่น

    • Conversions API ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถส่งข้อมูลการแปลงได้โดยตรงจากเซิร์ฟเวอร์ของตนเอง
    • Aggregated Event Measurement สำหรับการวัดผลแคมเปญภายใต้ข้อจำกัดความเป็นส่วนตัว
    • การปรับปรุงอัลกอริธึมการเรียนรู้ของเครื่อง เพื่อช่วยในการกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำขึ้นแม้จะมีข้อมูลจำกัด

    ดังนั้น ในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่นี้ ผู้ลงโฆษณาควรปรับกลยุทธ์และเครื่องมือที่ใช้ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลง เช่น 

    • เน้นการสร้างฐานข้อมูลลูกค้าของตนเอง (First-party data) ให้แข็งแกร่ง
    • ใช้กลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายแบบองค์รวมมากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาการกำหนดเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง
    • เพิ่มการทดสอบและปรับแต่งแคมเปญอย่างต่อเนื่อง
    • พิจารณาใช้เครื่องมือวัดผลแบบออฟไลน์เพิ่มเติม เช่น การสำรวจหรือการติดตามโค้ดส่วนลด

    TBS Marketing ขอเสนอแนะแนวทางสำหรับธุรกิจในไทยให้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ยืดหยุ่นและไม่พึ่งพาแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งมากเกินไป กอปรกับการใช้แนวทางแบบ Omni-channel และมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า เพื่อช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้ดีขึ้นในยุคที่ความเป็นส่วนตัวมีความสำคัญอย่างมาก 

    แม้ว่าการเปลี่ยนนโยบายความเป็นส่วนตัวจะสร้างความท้าทายใหม่ ๆ แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีให้ผู้ลงโฆษณาได้ค้นหาและสร้างสรรค์วิธีการใหม่ ๆ ในการเข้าถึงและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพและเคารพความเป็นส่วนตัวของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้เร็วและใช้ประโยชน์จากเครื่องมือหรือกลยุทธ์ใหม่ ๆ จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้

    โพสต์ใน

    Free Strategy Consultation


    As a full-service agency, we take pleasure in providing comprehensive solutions that are tailored to your specific requirements.

    Simply contact one of our experts by phone, filling out our contact form, or sending us an email. We're always available to listen and assist you as you navigate the ever-changing world of digital marketing.

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า