Microsoft Clarity: เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ที่คุณต้องรู้

สารบัญ

    วิธีติดตั้งและเริ่มต้นใช้งาน Microsoft Clarity

    Microsoft Clarity เป็นเครื่องมือฟรีที่ใช้วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นว่าผู้ใช้โต้ตอบกับเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น เครื่องมือนี้จะช่วยเสริมข้อมูลจากเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ อย่าง Google Analytics โดยให้ข้อมูลที่ลึกยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์

    ขั้นตอนการติดตั้ง Microsoft Clarity:

    1. ไปที่เว็บไซต์ clarity.microsoft.com แล้วสมัครสมาชิกเพื่อสร้างบัญชีใหม่
    2. เมื่อสมัครเสร็จแล้ว ให้เพิ่มเว็บไซต์ของคุณลงในแดชบอร์ดของ Clarity
    3. Clarity จะสร้างโค้ดติดตามให้คุณคัดลอก
    4. ให้นำโค้ดนี้ไปวางในส่วน <head> ของเว็บไซต์ของคุณ (ในหน้า HTML)
    5. หลังจากนั้น รอประมาณ 1-2 ชั่วโมง ข้อมูลการใช้งานจะเริ่มแสดงในแดชบอร์ดของคุณ

    เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว คุณจะสามารถใช้ฟีเจอร์หลักๆ ของ Clarity ที่จะช่วยให้วิเคราะห์เว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น เช่น:

    1. แผนที่ความร้อน (Heatmaps) : แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้กับหน้าเว็บมีความสัมพันธ์อย่างไร
    • ผู้ใช้คลิกส่วนไหนของเว็บไซต์บ่อยที่สุด
    • เลื่อนดูส่วนไหนของเว็บไซต์บ่อยที่สุด 
    • บนหน้าเว็บดึงดูดความสนใจจากผู้ใช้มากที่สุด
    1. การบันทึกเซสชัน (Session Recordings)
      ฟีเจอร์นี้จะบันทึกการใช้งานเว็บไซต์ของผู้ใช้ในรูปแบบวิดีโอ ช่วยให้เห็นว่า:
    • ผู้ใช้ไปที่หน้าไหนบ้าง
    • ส่วนไหนที่ผู้ใช้สนใจ หรือรู้สึกสับสน
    • ปัญหาที่ผู้ใช้อาจเจอระหว่างการใช้งาน
    1. การวิเคราะห์พฤติกรรม (Behavior Analytics) จะบอกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น:
    • คลิกผิดที่ (Dead clicks): เมื่อผู้ใช้คลิกในจุดที่ไม่สามารถคลิกได้
    • คลิกซ้ำๆ (Rage clicks): เมื่อผู้ใช้คลิกซ้ำๆ เพราะไม่สามารถใช้งานได้
    • เลื่อนหน้าจอเร็ว (Excessive scrolling): เมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าจอเร็วเกินไป

    Microsoft Clarity จะช่วยเสริมข้อมูลจากเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เช่น Google Analytics ทำให้เห็นมุมมองที่สมบูรณ์ขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้ ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์มากในการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) และเพิ่มอัตราการแปลง (Conversion Rate) บนเว็บไซต์

    เมื่อเริ่มใช้งาน Microsoft Clarity ให้คิดคำถามที่คุณอยากได้คำตอบ เช่น “ทำไมผู้ใช้ถึงออกจากหน้าชำระเงิน?” หรือ “ส่วนไหนของหน้าเว็บที่ผู้ใช้สนใจมากที่สุด?” หลังจากนั้นให้ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ใน Clarity เพื่อตอบคำถามพวกนี้ และปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น

    1. การเชื่อมต่อกับ Google Analytics : Clarity สามารถเชื่อมต่อกับ Google Analytics ได้ ซึ่งจะช่วย:
    • ดูข้อมูลจาก GA ในแดชบอร์ดของ Clarity
    • สร้างเซกเมนต์ผู้ใช้โดยใช้ข้อมูลจากทั้งสองแพลตฟอร์ม
    • วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ในเซกเมนต์เฉพาะจาก GA
    • ช่วยให้เห็นภาพรวมของผู้ใช้เว็บไซต์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
    1. การสร้างเซกเมนต์ที่กำหนดเอง: ช่วยให้คุณสร้างกลุ่มผู้ใช้ตามที่ต้องการได้ ซึ่งจะช่วย:
    • แยกวิเคราะห์ผู้ใช้ในกลุ่มต่างๆ เช่น ผู้ใช้ที่เข้ามาจากมือถือ หรือจากแคมเปญโฆษณา
    • เปรียบเทียบพฤติกรรมของผู้ใช้ในแต่ละกลุ่ม
    • หาจุดที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
    • ทำให้วิเคราะห์ได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การใช้ฟีเจอร์พวกนี้ด้วยกันจะช่วยให้เห็นภาพรวมของประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์ ทำให้หาปัญหา ค้นหาวิธีแก้ไข และปรับเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและเพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลง

    สำหรับคนที่ทำ SEO ในประเทศไทย การใช้ Microsoft Clarity ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น Google Analytics และ Google Search Console จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ในไทยได้ดีขึ้น ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และทำให้กลยุทธ์ SEO ของคุณดีขึ้นด้วย

    การอ่านและตีความข้อมูลจาก Microsoft Clarity

    1. การวิเคราะห์แผนที่ความร้อน
    • พื้นที่คลิกมากที่สุด: ดูว่าองค์ประกอบใดบนหน้าเว็บที่ผู้ใช้คลิกมากที่สุด ใช้ข้อมูลนี้เพื่อวางเนื้อหาสำคัญในตำแหน่งที่เห็นได้ชัด
    • พื้นที่ที่ถูกมองข้าม: สังเกตส่วนที่ผู้ใช้ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ด้วย อาจต้องปรับหรือย้ายเนื้อหาที่อยู่ในส่วนนี้
    • รูปแบบการเลื่อนหน้า: ดูว่าผู้ใช้เลื่อนลงไปลึกแค่ไหนบนหน้าเว็บ ใช้ข้อมูลนี้เพื่อวางเนื้อหาสำคัญให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
    1. การวิเคราะห์การบันทึกเซสชัน
    • เส้นทางการนำทาง: สังเกตเส้นทางที่ผู้ใช้งานในเว็บไซต์ เพื่อหาจุดที่ผู้ใช้ออกจากเว็บไซต์
    • พฤติกรรมที่ไม่คาดคิด: มองหาพฤติกรรมที่แปลกๆ ซึ่งอาจบอกถึงปัญหาหรือโอกาสในการปรับปรุง
    • เวลาที่ใช้บนแต่ละหน้า: วิเคราะห์ว่าใช้เวลานานแค่ไหนบนแต่ละหน้า เพื่อดูว่าเนื้อหาหน้าไหนน่าสนใจหรือทำให้ผู้ใช้สับสน
    1. การตีความข้อมูลพฤติกรรม
    • การคลิกที่ไม่ได้ผล: ถ้าเห็นว่าผู้ใช้คลิกในพื้นที่ที่ไม่ได้ผล อาจต้องเพิ่มลิงก์หรือปรับการออกแบบ
    • การเลื่อนกลับขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว: ซึ่งอาจจะหมายถึงความหงุดหงิดจากผู้ใช้ ควรตรวจสอบจุดพวกนี้เพื่อหาปัญหา
    • การเลื่อนหน้าจออย่างรวดเร็ว: ผู้ใช้อาจจะกำลังมองหาข้อมูลบางอย่าง ควรปรับปรุงการนำทางหรือโครงสร้างเนื้อหา
    1. การวิเคราะห์เซกเมนต์
    • เปรียบเทียบเซกเมนต์: เปรียบเทียบพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้ต่างๆ เช่น ผู้ใช้มือถือกับเดสก์ท็อป หรือผู้ใช้ใหม่กับผู้ใช้ที่กลับมา
    • วิเคราะห์เชิงลึกเฉพาะกลุ่ม: มุ่งเน้นที่เซกเมนต์เฉพาะเพื่อหาวิธีปรับปรุงการใช้งานสำหรับกลุ่มนั้นๆ
    • ติดตามแนวโน้ม: สังเกตการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมในแต่ละกลุ่มเมื่อเวลาผ่านไป
    1. การบูรณาการข้อมูลจาก Google Analytics
    • เชื่อมโยงข้อมูล: ใช้ข้อมูลจาก Google Analytics เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมที่เห็นใน Clarity ได้ดีขึ้น
    • ตรวจสอบความสอดคล้อง: เปรียบเทียบข้อมูลจาก Clarity และ Google Analytics เพื่อยืนยันแนวโน้มและผลลัพธ์
    • วิเคราะห์เส้นทางการแปลง: ใช้ข้อมูลการแปลงจาก Google Analytics ร่วมกับการบันทึกเซสชันจาก Clarity เพื่อเข้าใจพฤติกรรมที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง

    การอ่านและตีความข้อมูลจาก Microsoft Clarity อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้และสามารถปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น

    สำหรับผู้ที่ทำ SEO ในประเทศไทย การวิเคราะห์ข้อมูลจาก Clarity ร่วมกับข้อมูลจากเครื่องมืออื่นๆ จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ในไทยได้ดียิ่งขึ้น และช่วยปรับเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เทคนิคการใช้ Microsoft Clarity เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์

    1. ใช้ประโยชน์จากการบูรณาการกับ Google Tag Manager
      การใช้ Google Tag Manager (GTM) ร่วมกับ Clarity จะช่วยให้ติดตามอีเวนต์ที่กำหนดเองได้มากขึ้น:
    • สร้างแท็กใน GTM สำหรับอีเวนต์ที่ต้องการติดตาม
    • ส่งข้อมูลอีเวนต์ไปยัง Clarity เพื่อใช้ในการสร้างเซกเมนต์และวิเคราะห์
    • ใช้ข้อมูลนี้เพื่อสร้างมุมมองที่ละเอียดขึ้นของพฤติกรรมผู้ใช้
    1. วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ก่อนการแปลง
      ใช้ Clarity เพื่อดูเส้นทางของผู้ใช้ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง:
    • สร้างเซกเมนต์ของผู้ใช้
    • ดูการบันทึกเซสชันของผู้ใช้เพื่อหาพฤติกรรมที่เหมือนกัน
    • ใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับเส้นทางให้เหมาะสมกับผู้ใช้อื่นๆ
    1. ตรวจสอบประสิทธิภาพของการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์
      ใช้ Clarity เพื่อตรวจสอบผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงบนเว็บไซต์:
    • บันทึกพฤติกรรมของผู้ใช้ก่อนการเปลี่ยนแปลง
    • เปรียบเทียบกับพฤติกรรมหลังการเปลี่ยนแปลง
    • ใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจว่าจะเก็บหรือยกเลิกการเปลี่ยนแปลงนั้น
    1. ปรับปรุงการออกแบบ UX โดยใช้แผนที่ความร้อน
      ใช้แผนที่ความร้อนเพื่อหาพื้นที่ที่ควรปรับปรุงบนหน้าเว็บ:
    • หาพื้นที่ที่ไม่ได้รับความสนใจมาก และพิจารณาปรับปรุงหรือย้ายเนื้อหาที่นั่น
    • ตรวจสอบว่าองค์ประกอบสำคัญอยู่ในตำแหน่งที่ผู้ใช้สนใจ
    • ใช้ข้อมูลการเลื่อนหน้าเพื่อจัดวางเนื้อหาสำคัญในตำแหน่งที่เหมาะสม
    1. แก้ไขปัญหา UX โดยใช้ข้อมูลพฤติกรรม
      ใช้ข้อมูลพฤติกรรมเพื่อหาปัญหาด้าน UX และแก้ไข:
    • ดูจุดที่มีการคลิกที่ไม่ได้ผลบ่อยๆ และพิจารณาปรับการออกแบบ
    • ศึกษาพื้นที่ที่ผู้ใช้เลื่อนกลับขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจแสดงถึงความหงุดหงิด
    • ปรับการนำทางในพื้นที่ที่มีการเลื่อนหน้าจออย่างรวดเร็วบ่อยๆ
    1. ปรับแต่งประสบการณ์สำหรับอุปกรณ์มือถือ
      ใช้ Clarity เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้บนมือถือ:
    • สร้างเซกเมนต์สำหรับผู้ใช้มือถือ
    • วิเคราะห์พฤติกรรมและปัญหาที่พบเฉพาะบนมือถือ
    • ใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับการออกแบบให้รองรับมือถือได้ดีขึ้น
    1. เพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อหา
      ใช้ Clarity เพื่อปรับปรุงการนำเสนอเนื้อหา:
    • ใช้แผนที่ความร้อนเพื่อดูว่าผู้ใช้มีส่วนร่วมกับเนื้อหาส่วนใดมากที่สุด
    • วิเคราะห์การบันทึกเซสชันเพื่อดูว่าผู้ใช้อ่านเนื้อหาต่างๆ อย่างไร
    • ใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับปรุงโครงสร้างและการนำเสนอเนื้อหา

    การใช้เทคนิคพวกนี้กับ Microsoft Clarity จะช่วยให้ปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิผล โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทำ SEO ในประเทศไทย การใช้ Clarity ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ชาวไทยได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณตอบโจทย์ผู้ใช้และมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งในแง่ของ UX และ SEO.

    Free Strategy Consultation


    As a full-service agency, we take pleasure in providing comprehensive solutions that are tailored to your specific requirements.

    Simply contact one of our experts by phone, filling out our contact form, or sending us an email. We're always available to listen and assist you as you navigate the ever-changing world of digital marketing.

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า